IAA Surveys เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ หั่นเป้า GDP ปีนี้เหลือ 2.85%

IAA Surveys เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ ลดเป้า GDP ปีนี้ลง 2.85% ความคาดหวังเรื่องการเมืองเป็นปัจจัยบวก แนะนำหุ้น 5 ตัว ADVANC AOT BDMS CPALL TOP

คุณสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2566 (ข้อมูลวันที่ตอบแบบสอบถาม 21-27 ก.ย.66) โดยคาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2566 จากเดิมที่ 3.38% (ข้อมูล ณ ก.ค. 66) ลดลงมาเหลือ 2.85%

คุณ สมบัติ กล่าวถึง 3 สาเหตุหลักที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองเป้า GDP ปี 66 ลดลง 

(1.) ดอกเบี้ยที่ขึ้นมาเกินตัวเลขคาดการณ์ไว้  

(2.) ต้นทุนราคาพลังงานที่ขึ้นสูงกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง (3.) งบประมาณรายจ่ายของชาติที่จัดทำล่าช้า นอกจากนี้ยังคาดว่า GDP ปี 67 จะอยู่ที่ 3.56% 

ปัจจัยที่นักวิเคราะห์มองตรงกันว่าส่งผลบวกต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2566 (มีผู้โหวตมาเกินกว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม  นำมาโดย 

1.ผลประกอบการของบจ.ปี 67 มีผู้ตอบแบบสำรวจ 100% เต็ม 

2.โหวตให้เศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังจะฟื้นตัว 

3.ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ 

4. Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยด้านลบ 

1.ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ

2.เรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา

3.ปัจจัยด้านเศรษฐกิจของโลก

4.ทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ 

ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในปี 2567 

1) 77.28% ของ นักวิเคราะห์ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2.50%  

2)  9.09% ของผู้ตอบ มองว่าจะลงไปที่ 2.25% 

3)  9.09% เท่ากันมองสวนว่ายังจะขึ้นต่อไปที่ 2.75% และ

4)  4.55% มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ 3% 

ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2566 อยู่ที่ 6.51% ส่วนทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.03% 

สำหรับคาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ต.ค. - ธ.ค. 66 เฉลี่ยที่ระดับ 1,619 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,468 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2566 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,606 จุด ซึ่งลดลง 34 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1,630 จุด 

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

•เงินสดและเงินฝากระยะสั้น     14.80%

•กองทุนตราสารหนี้                21.20% 

•หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย     25.68%

•หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 24.12%

•ทองคำหรือกองทุนทองคำ        7.7%

•กองทุนอสังหาฯหรือ REIT        6.5%

ในส่วนของการลงทุนหุ้นต่างประเทศและกองทุนหุ้นต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุน กองทุนเทคโนโลยี  กองทุนรวมกลุ่มประเทศอาเซียนจากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง .

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น  แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก พาณิชย์ การแพทย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจ Finance (non-bank) ปิโตรเคมี ทั้งนี้ มี 5 หุ้นแนะนำ ที่นักวิเคราะห์เห็นตรงกัน 5 บลจ. ขึ้นไป พร้อมประเด็นหลักสนับสนุน ดังนี้

1. ADVANC โดยมองว่าแนวโน้มกำไรกลับมาเติบโตดีหลังการแข่งขันลดลง เนื่องจาก TRUE และ DTAC ควบรวมกัน และได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว

2. AOT มองว่าได้ประโยชน์สูงสุดจากการเปิดประเทศ และจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ นโยบายฟรีวีซ่า ดังนั้น คาดว่าจะมีผลประกอบการกำไรแบบเต็มปีในปี 2567 เนื่องจากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวในประเทศอีกด้วย

3. BDMS ได้รับประโยชน์จากการเดินทางข้ามประเทศฟื้นตัวและการขยายตัวของคนไข้ทั้งในและต่างประเทศจากกลุ่มลูกค้าประกัน ประกันสังคม และต่างชาติ เข้ามาใช้บริการที่สถานพยาบาลในประเทศไทย อย่างกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพก็ได้รับอานิสงส์

4. CPALL คาดกำไรฟื้นตัวใน 4Q23-2024 จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นภาครัฐ นโยบายจับจ่ายใช้สอยเงินดิจิทัล 10,000 บาท

5. TOP ปัจจัยสนับสนุนจากกำไรฟื้นตัวตามแนวโน้มค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น มองครึ่งปีหลังของปี 66 จะมีค่าการกลั่นเฉลี่ยยืนเหนือ 8 USD/bbl จากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัว และได้แรงหนุนจากความคืบหน้าแผนเพิ่มประสิทธิภาพตอบโจทย์ตลาดในอนาคต 

นอกจากนี้ยังมีหุ้น DELTA ที่เหล่านักวิเคราะห์มองตรงกันว่าเข้าเกณฑ์เสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากราคาเกินราคาปัจจัยพื้นฐานสูงมาก ที่ราคา 103 บาท (ข้อมูล ณ 27 กันยายน 2566) โดยหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ราคาร่วงลงในวันศุกร์ (29 กันยายน 2566) นั่นเอง

กลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐและต้นทุนพลังงาน ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ 

โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ  เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Land Bridge  

ด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ โปรโมตและกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในอุตสาหกรรม New S Curve และตามมาด้วย เสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ เร่งพัฒนาแรงงานไทย กระตุ้นการจ้างงาน ลดการแจกเงินทั่วไป เพิ่มการแจกเงินเฉพาะกลุ่มรวมถึงช่วยเหลือภาระหนี้ของเกษตรกร ข้าราชการ


#IAA #สมาคมนักวิเคราะห์ #GDP #IAASurveys #StockReview #BusinessLineandLife #ข่าวธุรกิจ #ข่าวประจำวัน